วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อินดี้ ณ 2030

อินดี้  ณ  2030

สิ่งแรกคือเราต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่า " อินดี้ " ก่อน

คำว่าอินดี้นั้นถ้าผมจำไม่ผิดนั้นมาจากคำว่า   " individual " นั้นคือ ความเป็นตัวตน 


แน่นอนว่าคนเรานั้นเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว

หากแต่ต้องถามว่ารู้ได้ยังยังว่านั้นเป็นตัวของเรา

การที่เราเป็นตัวของเราเองนั้น เพราะว่า เรารับข้อมูล  ต่างๆ

จากสิ่งรอบตัวแล้วนำมาจัดเรียบเรียงใหม่เป็นของตัวเอง

เพราะฉะนั้นอาจจะพูดได้ว่าเราไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง จากความเป็นตัวเอง


มองต่อมาว่าคำว่า "อินดี้"  ในจะเป็นการบอกถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีพฤติกรรมบางอย่าง

ร่วมกัน หากมองในบริบทของไทยนั้น อินดี้จะถูกกำจัดอยู่ในแต่กลุ่มวัยรุ่น หรือ มีพฤติกรรม

แบบวัยรุ่น ณ เวลานี้ (หากมีพฤติกรรมแบบวัยรุ่นเมื่อ10ปีก่อนอาจจะเรียกว่าจ๊าบ)


การที่เราเป็นอินดี้ นั้นถ้ามองลงไปในแก่นจริงๆของมันคือ การได้รับการยอมรับจาก

บุคคลรอบข้าง  ถ้าในอนาคตคำว่าอินดี้อาจจะเปลี่ยนไปเป็นคำอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่

ยังเหมือนเดิมก็คือคนเรา ไม่ว่าจะเมื่อ30ปีที่แล้ว ปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งอนาคต 

แก่นแท้ของคนเราก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายยังต้องการอาหาร  ยังต้องการความรัก 

ยังต้องการการยอมรับเหมือนเดิม     หากแต่สิ่งที่จะเปลี่ยนไปนั้นคงเป็นไอเดีย

ที่ต่างออกไปที่จะมาครอบแก่นอีกที


เพราะฉะนั้นแล้วไม่ว่าจะอีก30ปี หรือร้อยปีก็ตามตราบใดที่มนุษย์ยังอยู่

แก่น หรือ  "คอนเซป" ของคนเราก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

ดูดังตัวอย่างได้จากวัยรุ่นสมัยนี้ กับ เมื่อ30ปีที่แล้ว

วัยรุ่นเมื่อ30ปีที่แล้วก็ยังต้องการเป็นที่ยอมรับ เป็นจุดเด่น ไม่ต่างจากสมัยนี้เลยแม้แต่น้อย


คิดต่อมาอีกว่า "อินดี้" ในบริบทของประเทศไทยนั้นพูดได้ว่าพยายามที่ทำให้

"ดูเหมือน" เป็นส่วนน้อยจากสิ่งที่ทำอยู่ แต่จริงๆ แล้วเค้าพยายามจะทำให้เป็นส่วนน้อย

ทั้งๆที่เป็นส่วนใหญ่พยายามที่จะทำเป็นชนกลุ่มน้อยที่โดดเด่น 

(ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นอินดี้ได้ตั้งแต่เกิด ต้องมีการสอบไล่ซะก่อน)


ถ้าให้ผมทำนายความเป็น"อินดี้" ในอีก 30ปีข้างหน้านั้น

ให้บอกว่าใครจะเป็นนายกคนต่อไปยังง่ายกว่าอีก

เพราะเราไม่รู้ว่าอีก30ปีประเทศจะเป็นยังไง

แต่ความเป็น"อินดี้"นั้นผมตอบได้เลยว่าจะต้อง

"พยายาม"เป็นส่วนน้อยของสังคมในตอนนั้นๆ




วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Blog ไม่ใช่ บล็อก

ทุกวันนี้เราคงต้องยอมรับว่า อินเตอร์เนตนั้นแทบจะเป็นอีกปัจจัยที่5ของคนเรา
ไปแล้ว (นี่ถ้าไม่นับรถยนต์นะ) หากเป็นเพราะว่าการก้าวหน้าขึ้นของ
เทคโนโลยีที่ทำให้ราคา ถูกลง และการขยายตัวของคอมพิวเตอร์ที่เร็วยิ่งกว่า
กระเป๋าลดโลกร้อน(I'm not a Plastic Bag ) ทำให้เกือบทุกครัว
เรือนนั้นต้องมีคอมพิวเตอร์อย่างน้อย1เครื่อง

แน่นอนว่าพอมีคอมพิวเตอร์แล้วบางคนก็จะต้องการสร้างพื้นที่ๆเป็นของตนเอง
ต้องการ สึ่งที่เป็นของตนเอง บางคนจึงได้พึ่งพา "Blog" หรือ
"My Space" แล้วก็ยังมีเวปทำนองนี้ให้เลือกสรรอีกมากมาย
แล้วแต่จุดประสงค์ความต้องการของแต่ละคน
แต่ใน ที่นี้เราจะมาพูดเกี่ยวกับ "บล็อก" กัน

ผมได้รู้จักกับบล็อกมาเป็นเวลานาน แต่พึ่งมาได้สัมผัสใช้งานมันมาจริงๆ
ก็ยังไม่ถึงปีเลย เริ่มแรกมันมาจากที่วิชาเรียนวิชาหนึ่ง
(Comunication Design 4)ได้สั่งให้อัพบล็อกแล้วแค้ก็แนะนำ
Blogspotมาซึ่งจากที่ผมมาศึกษาดูเพิ่มเติมในภายหลัง ทำให้ได้รู้ว่า
Blogspot นั้นเป็นOpen source ยินยอมให้แก้ไขข้อมูล
ในเวป สามารถตกแต่งบล็อกของตัวเองได้ด้วยภาษาHtml

โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่ที่ผมได้รู้จักจะเรียกว่า "บล็อก" ซึ่งโดยความคิดแล้ว
มันน่าจะออกเสียง "บล็อค"มากกว่าเพราะเป็นตัวGถ้าก.ไก่น่าจะสะกดเป็น
Blockมากกว่า

คำว่าBlogนั้นแท้จริงแล้วมาจากอะไรผมไม่ทราบแต่โดยจากความคิดน่าจะ
มาจากWeb-log จึงรวมคำเป็น blog ถ้าแปลกันตรงตัวเลยก็จะแปลว่า
เวปไซต์ที่บันทึกเหตุการณ์ นั้นก็น่าจะเป็นไปได้ ถ้าคิดอีกแบบก็อาจจะมากจาก
Web-log ที่มีลักษณะเป็นแท่งยาวๆตรงๆลงมาเหมือนกับแท่งไม้ที่
ภาษาอังกฤษเรียกว่า logเหมือนกัน ต่างจากเวปไซต์ทั่วไปที่มีแผนผังเป็นแบบ
ต้นไม้กลับหัว มีแตกแยก แตกแขนงไปยังหน้าอื่นๆได้
แต่อันนี้ก็เป็นแต่ข้อสังเกตุนะครับ

ปัจจุปันมีการแข่งขันการแย่งพื้นที่ในเวปแบบนี้มาก จากที่เห็นไม่ใช่แค่บล็อก
อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็น FaceBook, Hi5 ,Multiply ซึ่งในตอนแรก
เค้าจะให้หน้าเปล่าๆมาให้แล้วเรามาตกแต่งกันเอง ซึ่งจุดนี้ตรงใจเราให้เกิดการ
อยากทำเป็นของตัวเอง หรือ จะเรียกว่าPersonalize ก็ได้ซึ่งเราจะเห็น
ความเป็นPersonalize ได้มากมายตามโฒษณาทีวีที่บอก"คุณ...คุณ...
และก็คุณ " จึงเกิดทำให้เราอยากจะมีควาเป็นตัวของตัวอยากสร้างพื้นที่ของตัว
เอง ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็คิดว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดเลย ทุกคนมีอิสระในการทำ
สิ่งต่างๆ แต่อิสระนั้นก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบ ในการกระทำอิสระนั้นๆ
ของเราเอง

แต่อย่าลืมนะครับ "บล็อก" ไม่ใช่ "บล็อค"

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ไม้บรรทัดมหัศจรรย์ ( ตีแปะ )

ในสมัยที่เราๆยังเรียนอยู่ประถมศึกษา แน่นอนว่าทุกคนต้องใช้ไม้บรรทัด
ในการเรียน ใช้ในการขีดเส้นใต้การบ้าน ขีดเส้นใต้2เส้นเวลาบวกเลขเสร็จ
หรือบางคนอาจจะเอามาเล่นฟันดาบกัน แต่ในขณะที่ผมเรียนอยู่ชั้นประถมนั้น
ได้มีไม้บรรทัดชนิดหนึ่งที่ไม่ได้มีคุณสมบัติ แข็ง ตรง แบบไม้บรรทัดทั่วๆไป
ซึ่งไม้บรรทัดที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ บางคนอาจจะเรียกว่า "ไม้บรรทัดมหัศจรรย์ "
แต่ในที่นี้ ผมกับเพื่อนๆขอเรียกว่า " ตีแปะ " ขอให้ทำความเข้าใจตรงกัน

ตามปรกติทั่วไปไม้บรรทัดจะมีคุณสมบัติ " ตรง " " ยาว " และ " แข็ง "
จนมีคำกล่าวเรียบเทียบเชิงประชดว่า" ตรงเป็นไม้บรรทัด " แต่ ตีแปะนั้น
จะเป็นไม้บรรทัดที่มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มขึ้นมามากกว่าไม้บรรทัดอื่นๆนั้นคือ
"งอได้ "โดยที่วัสดุที่นำมาทำนั้นผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำมาจากอะไร
(จากที่ดูแล้วนี่จะเป็นอลูมิเนียมแบบอ่อนอะไรประมานนั้น)

รูปทรงนั้นจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าธรรมดาทั่วๆไป แต่ถ้ามองจากภาพตัดขวาง
นั้นจะตรง มีส่วนโค้งอยู่ เพื่อให้ตัวไม้บรรทัดนั้นมีความแข็งตัวพอเพื่อที่
จะให้คงรูปทรงไม้บรรทัดอยู่ได้ แต่ถ้าเราออกแรงกดลงไปที่ส่วนโค้ง
มันจะมีเสียงดัง "แป๊ะ" แล้วไม้บรรทัดก็จะค่อยๆห่อตัวขดลงเป็นวงกลม
ส่วนตัวแล้วคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของ แรงตึงผิวของวัตถุแต่ละชนิด
ซึ่งจากการที่เวลาใช้ไปนานๆ ตีแปะเริ่มที่จะอ่อนยวบไม่ค่อยตึงเหมือน
กับตอนที่ซื้อมาใหม่ๆ






ลองมาคิดๆดูกันว่าทำไมไม้บรรทัดถึงจะต้องพับเก็บ , งอได้
ทั้งๆ ที่ภาพที่ของไม้บรรทัดนั้นคือความเที่ยงตรง เป็นบรรทัดฐานที่มั่นคง
มันก็ตลกดีที่ที่ตีแปะเป็นไม้บรรทัด(ฐาน)ที่เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งดูเหมือน
นี่จะเป็นไม้บรรทัด(ฐาน)ที่เป็น Double Standard
ไม่มีความแน่นอน เอาแน่ไม่ได้เสียเลย
หรือตอนแรกสุดที่เค้าผลิตมามันไม่ได้เป็นไม้บรรทัด !!!
ตีแปะไม่ได้ทำหน้าที่ของไม้บรรทัดได้อย่างดีเยี่ยม ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่า
มันจะทำฟังค์ชั่นนี้ขึ้นมาทำไม ซึ่งถ้าตีแปะนั้นอยู่ในความหมายของ
" ไม้บรรทัด "นั้น ตัวมันเองไม่เหมาะที่จะเป็นไม้บรรทัดซักเท่าไรนัก
เพราะจากที่ใช้มาถ้าตอนคุณขีดเส้นกดแรงไป ตัวไม้บรรทัดก็ดีดตัว
งอกลับทันที

อันนี้ผมเดาเล่นๆนะ
ถ้าเกิดแรกสุดเค้าทำตีแปะมาเพื่อเป็นไม้บรรทัดเค้าคงต้องการไม้บรรทัด
ที่เก็บ และพกพาได้สะดวก เพราะไม้บรรทัดนั้นอย่างที่เรารู้ๆกัน มันทั้ง
ยาว และ แข็ง (กรุณาอย่าคิดลามก) ทำให้ไม่สามารถใส่ลงไปในกล่อง
ดินสอร่วมกับเพื่อนๆ เครื่องเขียนของมันได้ ทำให้มันแตกแยกให้เราถือ
ไปต่างหาก แต่ถ้าคุณมีตีแปะพอคุณใช้ขีดเส้นเสร็จคุณก็สามารถเก็บไว้
ที่ข้อมือคุณได้เลย ไม่ต้องถือไปให้เมื่อยตุ้ม
ตีแปะได้ถูกเปลี่ยนแปลงทางความหมาย ไม่ได้เป็นไม้บรรทัดอีกต่อไปแล้ว !!!
หลังจากที่มีเพื่อนมาขอให้ช่วยทำบัตรงานเลี้ยงรุ่น ซึ่งตอนแรกผมก็ครุ่นคิด
ว่าจะทำมาแบบไหนดี ทำเป็นกระดาษธรรมดาดีมั้ย ? ทำเป็นอะไรดีวะ ?
และแล้วผมก็เกิดพุทธิปัญญา ให้ผมคิดได้ว่า " ใช้ตีแปะซิ " ซึ่งแน่นอนว่า
ผมตกลงใจทันที และเนื่องด้วยจากร.ร.ผมนั้นมีแค่สีชมพู เป็นสีประจำร.ร.
มันจึงง่ายที่จะทำออกมา




แต่ว่าการหาตีแปะนี่ซิยากกว่ามาก การที่จะค้นหาควานหาตีแปะนั้นยากยิ่งกว่า
หาบัวหิมะในหนังจีนที่มีทุกเรื่องแถมยังทำเป็นแพคใส่กระปุกขายอีก
จากที่กล่าวๆ ไปดูเหมือนว่าตีแปะไม่ได้ทำหน้าที่ไม้บรรทัดทั่วไปได้ดีนัก
หากแต่ถ้าเราคิดว่าตีแปะเป็นไม้บรรทัดที่สามารถวัดสิ่งที่เป็นรูปโค้งได้ !!
ที่ผมพยายามจะบอกคือ ทุกคนมีไม้บรรทัด(เกณฑ์)ในการวัด(ตัดสิน)
สิ่งต่างๆไม่เท่ากัน บางคนอาจมีหน่วยเป็น นิ้ว บางคน มิลลิเมตร
บางอย่างอย่าพึ่งรีบตัดสินเกินไป บางครั้งมันไม่ได้มีแค่ ถูก และ ผิด
ค่อยๆ รับรู้และเข้าใจไปดีกว่า
(ยืมมาจากอ.ติ๊กซะงั้น)

ปล. บล็อกนี้ยังไม่ตายนะเฟร้ย

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ทดสอบFont





ลองสร้างฟ้อนที่รองรับคอนเซปขึ้นมาดู
ก็... ดูแล้วยังขาดๆเกินๆอยู่

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551

Micro & Macro

เนื่องจากอาการขยันตัวเป็นขนของผมทำให้ไม่ได้มาอัพบล็อกมาซักพักใหญ่
เอาล่ะมาวิเคราะห์กันดีกว่า

จากคำที่ได้มา Micro & Macro แน่นอนว่าความหมายตรงตัวคือ

เล็ก & ใหญ่

อืม...

จากที่คุยๆกับเพื่อนๆมาก็จะออกมาแนว เราเป็นไมโคร โลกเป็นแมคโคร ถ้าโลกเป็นไมโคร แมคโครก็จะเป็นจักรวาลอะไรราวๆนั้น

แต่โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันเป็นของคู่กัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ ถ้าขาดสิ่งหนึ่งไป อีกอย่างก็จะไม่มีความหมายในตัวเอง

ถ้าขาดขนาดเล็ก แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือขนาดใหญ่ ?

ถ้าเราไม่รู้จักความืด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแสงสว่างเป็นอย่างไร ?

โดยส่วนตัวผมคิดว่า ของพวกนี้ให้ความหมายกันและกันอยู่เป็นนัยๆ

เหมือนกับว่าเป็นการ " เปรียบเทียบ " ให้เห็น

อารมณ์เหมือน หยิน-หยาง มีทั้ง2ด้าน ถ่วงดุลย์กันอยู่

อย่างงี้ทำให้คิดได้ว่าของทุกๆอย่างมี2ด้าน และอาจจะมากกว่า2ด้าน

แล้วแต่ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนๆนั้น

เอาล่ะ พักไว้ก่อนดีกว่าเดี๋ยวค่อยมาต่อลงรายละเอียดเจาะลึกกัน อีกที

วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ปีใหม่

ปี 2551

ปีใหม่
(อึ๋มโคตร)

ปีโป้

ปีหนู

ปีเกิด

ปีแรส
(คนนี้เทพโคตร)

ปีศาจ

ปีมะโว้

ปีเฉลิม

ปีอธิกมาส

ปี ปี่ ปี้ ปี๊ ปี๋

ปีพุทธศักราช

ปี = 12 เดือน

ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล

ปี1 ผ่านไปก็ยังไม่เคยจะมีใครหลงเข้ามา

ปี2 ก็ยังเข้าใจว่าต้องใช้เวลา

ปี3 เอ๊ะยังไง ไม่เห็นเหมือนเขาพูดนี่หว่า

ปีนี้ก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ...

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Survey of Art II

วันนี้เราจะมาพูดกันเรื่อง ประโยคคำพูดที่ชอบอยู่ตาม
ท้ายรถ10ล้อกัน
ผมว่าเราๆท่านๆทุกคนคงเคยเห็นประโยคแบบว่า

" เห็นงานเป็นลมเห็นนมสู้ตาย "

" ผัวเผลอแล้วเจอกัน "

" กูนึกแล้วว่ามึงต้องอ่าน "

ติดอยู่ตามท้ายรถ10ล้อกันบ้าง
วันนี้ผมเลยรวบรวมมาให้ดูกัน



























สังเกตุได้ว่าสีที่ใช้ และ ฟ้อนนั้นจะออกไปทางคำว่า
" เสี่ยว " หรือ " บ้านนอก"
(มิได้มีเจตนาว่าอย่างใดแต่เพื่อเป็นการยกตัวอย่าง)
และแน่นอนว่าบางคนอาจจะไม่ชอบ
เพราะว่ามันดูโลโซ ไม่เท่

แต่ถ้าเรานำความ " เสี่ยว " นั้นมา "จงใจเสี่ยว " ล่ะ
มีอยู่อันหนึ่งผมชอบมาก



อันนี้ผมถ่ายมากจากโน๊ตบุ๊คของอาจารย์ท่านหนึ่ง
ตรงโน๊ตบุ๊คมีสติกเกอร์ติดคำว่า " มืออาชีพ "
ผมว่ามันเป็นการจงใจเสี่ยวที่เข้าใจคิดมาก

เพราะอย่างที่เรารู้ๆกันว่าไอ้คำแบบนี้มักจะอยู่ตามรถ10ล้อ
หรือผนังห้องสุขา แต่นี่มาอยู่บนโน๊ตบุ๊คแทน
ซึ่งโน๊ตบุ๊คนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของที่ดูดี
มีระดับพอสมควร ในระดับหนึ่ง
(ประมานไม่ว่าใครถือโน๊ตบุ๊คเดินไปเดินมาจะดูดีขึ้น10%
ในกรณีที่เป็นMac Book จะดูดีขึ้นถึง 25 % !!! )
ต่างจากความรู้สึกของคนขับ10ล้อ พอสมควรทีเดียว


ซึ่งอาจารย์ท่านนี้ได้นำ2สิ่งที่ต่างกันมากพอดู
มารวมไว้ด้วยกัน แน่นอนว่าบางทีสิ่งที่เราเห็นว่าดูไม่ดี
หรือดูเชย ถ้าเรานำมันมา คิดให้ มาผ่านกระบวนการ
ออกแบบ ก็อาจจะทำให้มีอะไรใหม่ๆ ออกมาอีกก็ได้
อันนี้ให้ข้อคิดที่ดีว่า อย่ามองข้ามบางสิ่งไปเพราะสิ่งนั้น
อาจจะเอามาทำเป็นชิ้นงานก็ได้...